วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560


Vietnam EP.1 : 4 เรื่องราว ที่น่ารู้เกี่ยวกับชาวเวียดนาม



ไหนๆ เวียดนามก็เปิดประเทศและกำลังมีฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี ประกอบกับเริ่มมีการโปรโมทการท่องเที่ยวมากขึ้น เรามาดูกันดีกว่าว่า ชาวเวียดนาม เขามีพื้นฐานความเป็นอยู่กันยังไงบ้าง ผ่าน 4 เรื่องราวที่ผมได้คัดเลือกมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันนะคร้าบบบ ไปกันเล๊ยยยย




อันดับที่ 4 : ซุปเปอร์มาเก็ตที่เวียดนาม ของไทยเต็มเบย

        ซุปเปอร์มาเก็ตที่เวียดนาม บอกเลยว่า ไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ครับ ไม่ว่าจะเป็นข้าวไทย น้ำผลไม้ เครื่องปรุง มาม่า ขนม หรือของอุปโภคต่างๆ ในทุกๆซุปเปอร์มาร์เก็ตจะต้องมีของไทยขายอยู่แทบทุกแห่ง เพราะคนที่นี่เขามองว่าของเมด อิน ไทยแลนด์นี่เป็นของที่ดีมากๆ แล้วรู้หรือไม่ (นอกเรื่องนิสนุง) คนที่นี่ชอบภาพยนต์พี่มากพระโขนงอย่างแรงงง ถึงกับมีแฟนเพจพี่มากเวียดนามเลยทีเดียว >>>>>https://www.facebook.com/PhimHayTrenMang/?fref=ts



จะเห็นได้ว่า สินค้าไทยเพียบเลยนะครับ แถมบางชิ้น โลโก้ และภาษาที่เขียน เป็นภาษาไทยเลยทีเดียว
ขอบคุณภาพจาก https://www.smartsme.tv/content/43404


อันดับที่ 3 : การจราจร


โอ้วมายก็อดดดดด นี่มันสุดยอดเมืองมอเตอร์ไซร์ชัดๆ เขาว่ากันว่าชาวเวียดนามมีสัดส่วนประชากรมนุษย์กับมอเตอร์ไซร์เนี่ย เกือบเท่ากันเลยครับพี่น้อง เรียกได้ว่าใครอยากวัดดวง เชิญเลยคับผม

แต่สกิลการขับของพวกเขาขั้นเทพ เพราะอัตราการเกิดอุบัติเหตุต่ำมากๆ โดยสิ่งที่น่าชื่นชมคือ ร้อยละ 95 ของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซร์ใส่หมวกกันน๊อก รวมถึงเคารพกฎจราจรมากๆๆๆๆๆๆ ไม่มีการสวนเลน นี่ขนาดตำรวจมีน้อยนะครับ แสดงว่ามันอยู่ในจิตสำนึกของพวกเขาจริงๆ


อ่อ ลืมบอกไปครับว่า บ้านเขาบีบแตรกันเป็นเรื่องปกติครับ ถ้าบีบแบบนี้ที่เมืองไทย คงมีเรื่องกันไปแล้ว ส่วนผู้เดินสัญจรไม่ต้องกลัวเดินชนนะครับ ขออย่างเดียว อย่ายึกๆยักๆ จะข้ามก็ข้ามเลยครับ เดี๋ยวเขาขี่หลบเราเอง






อันดับที่ 2 : วัฒนธรรม ศาสนา และ ภาษา ชาวเวียดนาม

ด้านศิลปวัฒนธรรม 
        ชาวเวียดนาม มีความแตกต่างกับศิลปวัฒนธรรมของไทยอย่างมาก เพราะเวียดนามถูกปกครองโดยประเทศจีนมาหลายครั้งหลายหน จนอาจเรียกได้ว่า อารยธรรมวัฒนธรรม ของเวียดนาม คือ วัฒนธรรมของประเทศจีน นั่นเอง โดยเฉพาะทางด้านศิลปของโบราณสถาน ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น พระราชวัง วัด สุสาน ฯลฯ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันจนไม่สามารถแยกออกให้เห็นอย่างเด่นชัด แม้ในช่วงหลังมานี้ เวียดนามอาจได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศล และญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมแล้วจะคล้ายคลึงกับประเทศจีน และมีหลักฐานให้เห็นอยู่ทั่วไปบริเวณสองข้างทางที่พวกเราผ่านไปเกือบทุกถนน



ด้านศาสนา

เวียดนามไม่มีศาสนาประจำชาติ โดยรัฐธรรมนูญให้อิสระในการเลือกนับถือศาสนา โดยปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาคริสต์ ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ และที่เหนือนับถือศาสนาอื่นๆ อีก 3 เปอร์เซ็นต์






ด้านภาษา
ภาษาทางการคือ ภาษาเวียตนาม ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน




อันดับที่ 1 : อาหารการกิน

         เมื่อนึกถึงอาหารเวียดนาม หลายๆอาจคิดว่าชาวเวียดนาม กินหมา เป็นอาหารหลักนะครับ แต่จริงๆแล้ว อาหารเวียดนาม เขาไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยเลย อาทิ เฝอ ก็ออกแนวคล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยว / Goi cuon ก็คือ ปอเปี๊ยะสด / บุ๋นจ่า (Bun cha) ก็คือก๋วยเตี๋ยวที่เราผสมเครื่องทานเอง เป็นต้นครับ


PHO (เฝอ)



BUN CHA (บุ๋นจ่า)



GOI CUON (ปอเปี๊ยะสด)

ขอบคุณภาพจาก http://travel.trueid.net/detail/73260

ส่วนเรื่องการกินหมาเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ซึ่งไม่ใช่เพียงเวียดนามเท่านั้น จีนและเกาหลีก็มีการกินเนื้อสุนัขเช่นกัน ซึ่งรับประกันว่านักท่องเที่ยวไทยไม่เจอเนื้อสุนัขในร้านอาหารทั่วไปอยู่แล้ว เพราะอะไร ไว้เจอกัน EP.ต่อไป เราจะมีประเด็นเล็กๆน้อยๆ เรื่องอาหารทั่วไปและวัฒนธรรมการกินหมามาฝากกันครับ เพราะวัฒนธรรมนี้กระเด็นกระดอนมาไกลถึงสกลนครเลยทีเดียว



#ปริญญาโทนิเทศศาสตร์DPU
#มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
#DPU



วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

KAMU TEA สัมผัสใหม่แห่งชานม



KAMU TEA สัมผัสใหม่แห่งชานม

เปิดกลยุทธความสำเร็จของชานม KAMU TEA ที่มีมากกว่า 40 สาขาในปัจจุบัน ยอดขายเติบโต 30% ในปีที่ผ่าน (59)

สวัสดีคร้าบบบบบบบบบบบบ สำหรับบล๊อก Master Review วันนี้เราจะเอาใจคนที่ชื่นชอบดื่มชานมไข่มุกกันล่ะครับ โดยเฉพาะสูตรชาเขียวเมล่อน และ มัทฉะ ถั่วแดง ซึ่งเป็นที่เด็ดของร้าน KAMU TEA (คามุ) เลยทีเดียวครับโผมมมมม

เป็นที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า ยุคเนี้ยะ!!! มันเป็นยุคของ ชานมไข่มุก สังเกตุเห็นได้จากร้านชานมไข่มุกผุดขึ้นมาอย่างดับดอกเห็ดเลยทีเดียวครับ แต่อะไรกันล่ะคือเคล็ดลับที่ทำให้ KAMU TEA เติบโตมากกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา (59) มีสาขาเปิดใหม่อีกเยอะแยะมากมาย


เริ่มจากชื่อ KAMU เนี่ยนะครับ เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าเคี้ยวหรือกัดนั่นเอง ซึ่งทางคุณทินณกฤต สินทัตโสภณ หรือ "คุณแทน" ผู้ก่อตั้ง KAMU TEA ก็ได้วาง คอนเซปชาของเขาไว้ว่า "ชาที่เคี้ยวได้" น่าสนใจไหมล่ะครับทุกทั่นนนนนนน ดังนั้น KAMU จึงมี Topping ที่หลากหลายมากๆเลยทีเดียว ประกอบกับเมนูเครื่องดื่มที่มีให้เลือกสรรค์ถึง เกือบๆ 30 เมนู สาขาก็หาไม่ยากครับเพราะ
KAMU TEA นั้น มีสาขาทั้งหมดราวๆ 40 สาขา ภายในระยะเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้นนนน การันตีได้เลยล่ะครับว่า KAMU เค้ามีของดีจิงๆนะ

แล้วความแตกต่างกับแบรนด์อื่นๆล่ะ อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของ KAMU TEA
คุณแทนเล่าว่า
1.KAMU วางกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน ในช่วง 3-5 ปีแรก มักจะเปิดสาขาตามสำนักงานออฟฟิสต่างๆ ทำการสื่อสารการตลาดผ่านหน้าร้านที่มีความ โมเดิร์น ทันสมัย โดยหลังจากที่ KAMU ได้รับความนิยมมากขึ้นจึงเปลี่ยน             Position ของแบรนด์ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อเจาะตลาดวัยรุ่น



เมนูของ KAMU คร้าบบบ

2. สินค้าของ KAMU เน้นความเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับวัตถุดิบบางชนิด ที่ต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดย KAMU มีสินค้าเรือธง ที่ขายดีติดใจลูกค้า ได้แก่
2.1 ชาเขียวที่หอมกลิ่นเลม่อน : คั้นสดๆกันหน้าร้าน เลยทีเดียว รวมถึงใส่เปลือกเลม่อนลงไปในแก้ว เมื่อได้ลองรับประทาน จะมีกลิ่นเปรี้ยวหวานของเลม่อน ติดจมูกจนหยดสุดท้ายของชาเขียวเลม่อนแก้วนี้เลยทีเดียวครับ
2.2 มัทฉะ ถั่วแดงงงงงง : เริ่มจากวัตถุดิบตัวมัทฉะเนี่ย KAMU เค้านำเข้าจากเมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น มีกลิ่นชาวเขียวติดปลายลิ้น เป็น After taste ที่แฟนๆชาเขียวหลงรัก KAMU เลยหละครับ

2 สินค้าเรือธง ของ KAMU ที่คนรักชาเขียวพลาดไม่ได้


3. การสื่อสารการตลาดของ KAMU นั้นช่วงแรกๆ คุณแทนยอมรับเลยนะครับว่า ใช้วิธีการที่เรียบง่ายด้วย Word of mouth ใช้ความประทับใจของลูกค้าบอกต่อแบบปากต่อปาก หลังจากนั้นเมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น  ก็ได้มีการเปลี่ยนโลโก้และมาสคอตใหม่ หรือที่เรียกว่า KAMU BOY คุณแทนยังเล่าอีกว่าในปีนี้ KAMU จะสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่า KAMU ไม่ใช่ชา Hicost และไม่ชาที่ Lowcost แต่เป็นชาระดับพรีเมี่ยม ที่คนมีกะตังจะทานก็ได้ คนประหยัดจะทานก็ดีครับ



Kamu BOY โลโก้ที่เราจะได้เห็นในปีนี้คร้าบ


4. โปรโมชั่นต่างๆของ KAMU แน่นอน พื้นฐานของร้านชานมต้องมีทุกร้านครับ บัตรสะสมแต้มนั่นเองงงงซื้อ 10 ฟรี 1 แก้วงี้ หรือบางช่วงเทศกาลประมาณ ปีละ 1 ครั้ง ก็มีโปรโมชั่นเจ๋งๆ อย่าง ซื้อ 1 ฟรี 1 ทำให้บรรดาแฟนชานมเนี่ย ถึงขั้นแห่กันมาต่อแถวซื้อทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียวครับ ถือเป็นการสื่อสารแบบไทยมุงที่ได้ผลเป็นอย่างดีเลยดีเดียว


ต่อคิวยาวเลยทีเดียวคร้าบบบบบบบ
                                                         


โปรโมชั่นต่างๆของ KAMU ฮอตมากกกก




ภาพรีวิวจากลูกค้าใน IG ของ KAMU TEA


นอกจากนี้ KAMU ยังได้ร่วมกับ บริษัทใหญ่ ออกโปรโมชั่นต่างๆออกมาเอาใจลูกค้าอีกด้วยครับ


 


การวิเคราะห์ SWOT
Strength (จุดแข็ง)
KAMU รสชาติของสินค้า ที่ติดตรึงใจลูกค้า ส่งผลให้เกิดการบอกปากต่อปาก รวมถึงสินค้ามีการพัฒนาและออกรสชาติใหม่ๆตลอดเวลา และความมุ่งมั่นของเจ้าของแบรนด์ที่อยากประสบความสำเร็จ จริงจัง การบริหารจัดการที่มีระบบ มีคุณภาพ

Weakness (จุดอ่อน)
เนื่องจาก KAMU เพิ่งเปิดมาได้เพียง 6-7 ปี เงินทุนด้านการสื่อสารการตลาด หรือ โฆษณาประชาสัมพันธ์ยังค่อนข้างน้อย เจ้าของเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด

Opportunities (โอกาส)
ในปีนี้ (2017) KAMU จะมีการเจาะตลาดออนไลน์มากขึ้น โดยสื่อสารผ่านเพจเฟสบุ้ค อินสตราแกรม มากขึ้น อาจได้เห็น ไวรัลคลิปของ KAMU ในปีนี้ รวมถึงตั้งเป้าสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา

Threats (อุปสรรค)
ตลาดชานมไข่มุกมีความหลากหลาย คู่แข่งเยอะมาก หาก KAMU ไม่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา อาจส่งผลให้ตามคู่แข่งไม่ทัน และเสียโอกาสทางธุรกิจได้




ทิ้งท้ายกันนิดนึงครับ ล่าสุด KAMU เตรียม "ของขวัญวาเลนไทน์" ให้กับคู่รักหนุ่มสาว ด้วยชากุหลาบสุดแสนอร่อย จากดอกกุหลาบแท้ๆ นำเข้าจากฝั่งตะวันออกกลางเลยดีเดียวครับ ผสมเข้ากับเลม่อนคั้นสดๆ เรียกได้ว่าความรักของคุณจะหอมหวานดุจความรักของหนุ่มสาว แต่แอบซ่อนรสชาติเปรี้ยวเล็กๆที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว พบกับชากุหลาบได้ที่ KAMU TEA ทุกสาขาในวันที่ 14  กุมภาพันธ์นี้ พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ ซื้อชากุหลาบ 1 แก้่ว ฟรี ชาไทยหรือชานม 1 แก้ว


ลายแทง Touch point ง่ายๆ ของ KAMU TEA ครับ 3 ช่องทางๆ
Instagram  : KAMUTEA
Facebook   : KAMU TEA
Line@      : @KAMUTEA